มัณฑะเลย์ – พุกาม – ย่างกุ้ง ชมความงามแห่งศาสนสถานฉบับสายบุญ

นักเดินทางหลายต่อหลายคนคงมีโอกาสได้เดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ มากมาย ทั้งภูเขา น้ำตก แม่น้ำ หรือทะเล ล้วนต่างเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วันนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งอยากนำเสนอ เป็นสถานที่เปรียบได้ว่าเป็นทะเล แต่ไม่ใช่ทะเลธรรมดา แต่เป็นทะเลแห่งศรัทธาของผู้คนที่มีต่อพระพุทธศาสนา ศรัทธาที่มากมายถึงขนาดหากย้อนกลับไปสมัยที่รุ่งเรือง ทั่วทั้งเมืองมีเจดีย์ที่ได้รับการสร้างขึ้นกว่าหลายพันองค์ จึงเป็นที่มาแห่งฉายา ทะเลแห่งเจดีย์

มัณฑะเลย์ พุกาม เมืองแห่งทะเลเจดีย์

หากพูดถึงพุกามบางครั้งอาจจะยังนึกภาพกันไม่ออกนัก แต่หากพูดถึงภาพของบอลลูนหลากสีลอยอยู่บนท้องฟ้า เหนือภูเขาสูงและยอดเจดีย์นับสิบ นับร้อย น่าจะเป็นภาพที่หลายท่านจดจำได้ ภาพเจดีย์มากมายนั้นแสดงถึงความเจริญ ร่ำรวย และความศรัทธาของผู้คนที่นี่ที่มีต่อพระพุทธศาสนา โดยทันทีที่มาถึงสิ่งแรกที่สัมผัสได้เลยความเชื่อที่หนักแน่นของผู้คนที่นี่ เนื่องจากเป็นเมืองที่มากมายไปด้วยสถานที่ที่แสดงถึงความมั่นคงและศรัทธาในพระพุทธศาสนา เผยความศรัทธาที่มั่นคงผ่านการสร้างสถานที่ทางศาสนาที่สวยงาม ตราตรึงผู้คนทั้งโลกมาอย่างยาวนานรวมถึงปัจจุบันก็ยังมีผู้คนแห่แหนมายังเมืองแห่งนี้              

เมืองพุกาม เรียกอีกชื่อคือ เมืองเจดีย์สี่พันองค์ ตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ วิธีการเดินทางท่องเที่ยวภายในพุกาม สามารถเช่ามอเตอร์ไซค์ สองแถว แท็กซี่ หรือที่แนะนำเลยคือรถม้าพาทัวร์ แต่อาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ฝุ่นเท่าไหร่นัก เมื่อเลือกยานพาหนะได้เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปคือ ชมเมืองทั้งบนบกและลอยฟ้า ต้องบอกว่าหากอยากจะลอยล่องบนบอลลูนสวยงามต้องมาให้ถูกเดือนด้วย เพราะมีเฉพาะช่วงไฮซีซั่นหรือพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์เท่านั้น ที่จะมีโอกาสสัมผัสกับการชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนบอลลูน นอกจากการชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนบอลลูนแล้ว แลนมาร์คอื่นที่น่าสนใจคือ มัณฑะเลย์ ฮิลล์เป็นวัดบนภูเขา โดยเมื่อไปถึงสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ทั่วทั้งเมืองเลยทีเดียว และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ ความงดงามภายในสถานที่แห่งนี้ การประดับตกตบแต่งที่ต่างออกไปจากบ้านเรา ถือเป็นเสน่ห์ที่ไม่ควรพลาด สถานที่ต่อมาหลังจากที่ชื่นชมสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว คือสะพานไม้อูเบ็ง ซึ่งเป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก เรียกว่ายาวสุดตาเหมาะแก่การล่องเรือและเก็บภาพชมพระอาทิตย์ตกดินอย่างมาก

เมืองย่างกุ้งอดีตเมืองหลวงของเมียนมาร์

จริง ๆ แล้วเพียงเมืองพุกามก็สามารถสร้างความประทับใจไม่น้อย แต่หากเป็นสายบุญสายทานแล้ว ถือว่าการเดินทางยังไม่จบ เพราะต้องไปไหว้พระสำคัญต่อที่เมืองย่างกุ้งก่อน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่ขึ้นชื่อของย่างกุ้งที่ถ้าไม่มาถือว่ามาไม่ถึง คือพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ตั้งตระหง่านสว่างอยู่บนเนินเขา เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมาร์ สีของเจดีย์เป็นสีทองอร่าม ซึ่งตรงกับความหมายของชื่อเจดีย์ โดยชเวหมายถึงทองนั่นเอง

สถานที่ต่อมาที่ไม่อยากให้พลาดนั่นคือ วัดชเวตอเมียต โดยเป็นวัดที่ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินย่างกุ้งเพียง 10 นาทีเท่านั้น ความสวยงามของวัดแห่งนี้คือ สีของเจดีย์ที่เป็นสีทองเจิดจ้าตัดสลับกับสีขาว โดยเป็นสถาปัตยกรรมพุกามแปดเหลี่ยม แถมบนสุดของยอดดูทองที่ทำมาจากทองคำแท้ ด้านในมีพระธาตุที่ผู้คนนิยมมากราบสักการะขอพร บางครั้งอาจจะมีคนหนาตาหน่อยแต่นั่นก็แสดงถึงความศรัทธาที่ผู้คนมีต่อศาสนา

หลังจากที่ได้ชื่นชมความงามของเจดีย์ สักการะพระธาตุแห่งเมียนมาร์และเยี่ยมชมวัฒนธรรมของผู้คนเมืองพุทธที่ต่างออกไป และบุญกุศลสิ่งจะได้กลับบ้านแล้ว สิ่งที่จะได้และคงอยู่เต็มหัวใจเลยก็คงจะหนีไม่พ้น ความทรงจำของผู้คน อาหารการกิน และศรัทธาในศาสนาที่หยั่งรากลึกจนยากจะสัมผัสได้จากที่ไหน

โฮจิมินห์ ดาลัด มุ่ยเน่ จากเมืองดอกไม้สู่ทะเลทราย

จากเหนือจรดใต้ของประเทศไทยแวดล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอยู่มาก ทว่ายังมีสถานที่บางสถานที่ ที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในภูมิประเทศบ้านเรา ทำให้หากจะชื่นชมสถานที่เหล่านั้นนักท่องเที่ยวจะต้องสรรหาวิธี ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อจะไปถึงจุดหมายในดวงใจ ทะเลทรายก็คือเป็นสถานที่หนึ่งที่ไม่มีให้เห็นในบ้านเรา ต้องเดินทางออกนอกประเทศจึงจะได้ชมกัน นอกจากนั้นภาพจำของทะเลทรายทั่วไปที่พบเห็นตามสื่อต่าง ๆ นั้นดูแล้วแสนจะร้อน แห้งแล้งและคงอยู่ไกลจากบ้านเรามากโข

แวะโฮจิมินห์ก่อนไปวิ่งเล่นทะเลทราย

ในความเป็นจริงภาพการไปวิ่งเล่นที่ทะเลทรายไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อมเลยแม้แต่น้อย เพราะทะเลทรายที่ใกล้บ้านเราที่สุด อยู่แค่ประเทศเวียดนามนี้เอง การไปเวียดนามก็แสนสะดวกเพราะมีเครื่องบินจากบ้านเราบินตรงไปยังหลายเมืองของเวียดนาม หากอยากไปดื่มด่ำกับสายหมอกที่ซาปา เวียดนามเหนือ ก็เลือกลงที่สนามบินฮานอยและค่อยต่อรถเข้าไป แต่หากอยากลงมาทางใต้เพื่อไปสัมผัสบรรยากาศการขี่ ATV บนเนินทะเลทราย ให้เลือกลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ตหรือเรียกสั้น ๆ ว่าสนามบินโฮจิมินต์ซิตี้

พอถึงนครโฮจิมินห์ก็สามารถเข้าเยี่ยมชมสถานที่ประวัติศาสต์ต่าง ๆ เช่น ศาลากลางโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นตึกสีเหลืองครีม สร้างสไตล์ฝรั่งเศส หรืออาคารไปรษณีย์กลางจุดนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปเป็นอย่างมาก ตัวอาคารสีเหลืองตัดกับบานหน้าต่างสีเขียวเข้ม สวยงามและเก่าแก่ มีอายุกว่าร้อยปีเลยทีเดียว

ต่อมาที่ไม่อยากให้พลาดคือ โบสถ์คาทอลิกเก่าแก่ สร้างตามแบบสไตล์ฝรั่งเศส ด้านหน้าจะมีรูปปั้นพระแม่มารีที่สร้างจากหินอ่อนสวยงามและยังเป็นโบสถ์ที่ยังมีการประกอบพิธีทางศาสนาอยู่แม้จะมีอายุกว่าร้อยปีแล้ว สถานที่ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นในนครโฮจิมินห์ล้วนอิงศิลปะฝรั่งเศส ทำให้การมาที่นี่เหมือนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของฝรั่งเศสซ่อนอยู่ เป็นการผสมกลืนเข้ากันระหว่างมนต์ขลังของเวียดนามและความโรแมนติกของฝรั่งเศสอย่างกลมกลืน

ดาลัดเมืองดอกไม้และมุ่ยเน่เมืองแห่งทะเลทราย

จากการชื่นชมโบสถ์ วิหาร และอาคารเก่าของของโฮจิมินห์ มาต่อกันที่เมืองที่ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นเมืองแห่งดอกไม้ เหตุที่เรียกเช่นนั้นเพราะ ที่นี่มีทุ่งดอกไม้ที่สวยโดดเด่นมาก เช่น ทุ่งไฮเดรนเยีย ทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกไฮเดรนเยียแสนสวยสีฟ้า เหลือง ขาว บานชูช่อรอให้นักท่องเที่ยวไปสัมผัสตลอดทั้งปี

สถานที่ต่อมาเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยสีชมพู เหมาะกับสาว ๆ สายหวานอย่างมาก นั่นคือ ทุ่งหญ้าสีชมพู ซึ่งจะมีเฉพาะในหน้าหนาวเท่านั้น เหมาะกับการมาเก็บภาพเป็นอย่างยิ่ง เมืองแห่งดอกไม้นี้ในความเป็นจริงสามารถเรียกได้เรียกว่าเมืองแห่งดอกไม้บนภูเขาก็ได้ เพราะนอกจากดอกไม้ที่สวยงามแล้วนั้น เมืองดาลัดนี้ยังตั้งอยู่บนภูเขาสีเขียว ทะเลสาบสวย แถมอากาศก็เย็นสบายตลอดทั้งปีให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ยุโรปเลยทีเดียว ดังนั้นหากจะมาที่นี่อย่าลืมพกอุปกรณ์สำหรับกันหนาวมาด้วย

ต่อจากดาลัดถึงเวลาไปทักทายทะเลทรายของจริงกับตาตัวเอง วิธีเดินทางคือนั่งรถบัสแบบนอนตอนกลางคืนจากดาลัดจะได้ถึงมุ่ยเน่ตอนเช้าพอดี เมื่อถึงเมืองทะเลทราย ก็ต้องเลือกว่าจะไปทะเลทรายแห่งไหนก่อน เพราะทะเลทรายที่มุ่ยเน่มีหลายแห่ง โดยที่ใหญ่ที่สุดเป็นทะเลทรายสีขาว จึงเรียกว่า ทะเลทรายขาว อาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลอยู่ไม่ไกลกับทะเลสาบ นับว่าเป็นวิวสวรรค์สร้างก็ว่าได้ วิธีการเดินทางขึ้นมายังทะเลทรายแบบสะดวกที่สุดคือการซื้อทัวร์แบบ 1 วัน โดยคนขับจะพาเรานั่งรถจี๊ปมาเลย จากนั้นก็ให้เราเดินเล่นตามอัธยาศัย บางคนชื่นชอบกิจกรรมผจญภัยหน่อยก็เช่า ATV ขับขึ้นไปบนเนินทะเลทรายหรือขี่นกกระจอกเทศไปยังได้ บางคนสะดวกเดินก็ได้แต่ลมแรงมาก ฝุ่นตลบเลยทีเดียว

นอกจากทะเลทรายขาวแล้วคนขับก็จะพาไปสถานที่ต่อไปคือทะเลทรายแดง อยู่ไม่ไกลกันนัก เม็ดทรายของที่นี่ละเอียดราวกับเม็ดแป้ง ก่อนจะพาเรากลับไปส่งที่เดิม พร้อมภาพสุดท้ายของวันคือ พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า

ทุกครั้งที่ได้ออกเดินทาง ทกคนต่างได้รับความทรงจำดี ๆ และในขณะเดียวกันก็ฝากรอยเท้าเอาไว้ เพื่อบ่งบอกว่าครั้งหนึ่งของชีวิต เราต่างได้เดินทางไปยังที่แห่งนั้น ก่อนจะตามหาสถานที่แห่งใหม่เพื่อให้หัวใจได้ออกเดินทางอีกครั้ง

เตเนริเฟ เกาะภูเขาไฟแห่งหมู่เกาะคานารี ประเทศสเปน

แม้นักท่องเที่ยวมากมายพยายามจะเดินทางเพื่อสำรวจโลกใบนี้มากขนาดไหน ก็คงไม่มีใครสำรวจโลกใบนี้ได้หมดทั้งใบ มีอีกหลากหลายสถานที่ที่กำลังเฝ้ารอให้ผู้คนออกตามหา ทั้งสถานที่ที่อยู่ไกล อยู่ใกล้ อยู่สูง อยู่ลึก ล้วนกำลังรอนักเดินทางทุกท่านอยู่

เตเนริเฟ พี่ใหญ่แห่งหมู่เกาะคานารี สเปน

เตเนริเฟ หนึ่งในเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะคานารี ถือเป็นสถานที่หนึ่งที่รอทุกท่านมาเห็นด้วยตาของตัวเอง โดยเกาะแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศสเปน แต่ตัวเกาะก็ตั้งอยู่ค่อนไปทางแอฟริกา ทำให้ห่างจากสเปนพอสมควร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาได้ทั้งทางเรือและเครื่องบิน โดยบนเกาะมีสนามบิน 2 แห่ง คือ สนามบินเตเนริเฟเหนือและเตเนริเฟใต้ เกาะแห่งนี้แม้จะอยู่ค่อนข้างไกล แต่พอมาถึงกลับพบว่าที่มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาตา นักท่องเที่ยวส่วนมากมาเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติ โดยที่นี่มีชายหาดหลากหลายสี ทั้งขาว ส้มทอง จนกระทั่งสีดำสนิท

แต่ไฮไลท์ที่สำคัญและพลาดไม่ได้เลยคือ การมาสัมผัสกับภูเขาไฟเดเตย์ (Mount Teide) ที่ยังมีลมหายใจ โดยเพิ่งปะทุล่าวสุดเมื่อปีค.ศ.1909 และเป็นภูเขาไฟที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปด้านบนของภูเขาไฟด้วยการขึ้นกระเช้า สามารถขึ้นไปเกือบถึงบริเวณปล่องภูเขาไฟเลย พอไปถึงด้านบนอุณหภูมิจะค่อนข้างต่ำ อากาศจะหนาวมาก แม้ว่าอุปสรรคจะค่อนเข้างเยอะ แต่พอได้มองลงมายังด้านล่างจะพบกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมาก สวยจนต้องถามตัวเองว่า ธรรมชาติสร้างสิ่งที่สวยงามขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ภาพของหมู่ก้อนเมฆสีขาวลอยอยู่เบื้องล่างคล้ายเป็นทะเลเมฆ (Sea of clouds) ที่คล้ายเรากำลังยืนอยู่บนสวรรค์ก็ไม่ปาน

หากใครยังไม่พอใจสามารถท้าทายตัวเองด้วยการพิชิตจุดสูงสุดของยอดเขาต่อได้เพียงเดินฝ่าดินหนืด แต่ต้องไต่ตามเส้นเชือกที่ทางอุทยานเตรียมไว้เพราะค่อนข้างอันตรายพอควร นอกจากภูเขาไฟแล้วยังสามารถไปชมทุ่งหญ้าและดอกไม้ที่สวยงามด้วย มีทั้งสีแดง ชมพู ขาว แถมแถวนี้ยังมีสัตว์หลายชนิดให้ชมอีกด้วย

สถานที่ห้ามพลาดเมื่อมาเตเนริเฟ

นอกจากภูเขาไฟขึ้นชื่อแล้ว เกาะแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ Loro Park สวนสัตว์ที่ดีที่สุดในยุโรป เป็นสวนสัตว์ที่มีสัตว์หลายชนิด ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำรวมอยู่ในสวนสัตว์แห่งเดียว ซึ่งภายในมีทั้งสิงโตทะเล เพนกวิน แอนตาร์กติก เต่า จระเข้ โลมา หรือแม้กระทั่งวาฬเพชฌฆาตที่ตัวสีดำ ขาว ที่นี่มีถึง 6 ตัว และยังสามารถเข้าชมการแสดงของฝูงสัตว์น้ำ ทั้งการแสดงโชว์อันพร้อมเพรียงของฝูงโลมา โชว์ความแสนรู้ของสิงโตทะเล หรือแม้แต่ความน่ารักเป็นมิตรของวาฬเพฌฆาต ภาพวาฬเพชฌฆาตเล่นสนุกกับคนถือเป็นภาพที่หาดูไม่ง่ายเลย สถานที่ถัดมา คือ อุทยาน Anaga Rural Park ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราสามมารถชมวิวความงามของธรรมชาติทางฝั่งตะวันออกของเกาะได้ หรือจะชมวัฒนธรรมของเมืองก็สวยไม่น้อย

ภาพของต้นไม้สูง ทะเลสีเข้มกว่าบ้านเรา มีทิวทัศน์ของภูเขาไฟและภูเขาสูงสีเขียว ชายหาดหลากสีรวมถึงวัฒนธรรมของเกาะแห่งนี้ ล้วนดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางเข้ามาเยี่ยมชม หากใครอยากจะมาสัมผัสบรรยากาศที่แตกต่างแต่เข้มข้นไปด้วยความงามของธรรมชาติ เกาะเตเนริเฟ ถือเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย

ตามรอยซีรี่ย์และการ์ตูนดังไปยังเกาะมอลต้า มนต์เสน่ห์ยุโรปใต้

ใครจะคาดคิดว่าเพียงเพื่อการสร้างภาพยนตร์สักเรื่อง จะต้องเนรมิตฉากที่แสนตระการตาและยิ่งใหญ่ หลายฉากที่สร้างขึ้นมา และถูกรื้อถอนออกไปไป แต่ก็มีบางฉากที่นอกจากจะยังคงอยู่แล้วยังกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชมได้ด้วย

ณ มอลต้า มนต์เสน่ห์ยุโรปใต้

หลายคนคุ้นหูชื่อประเทศมอลต้าจากภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งที่ลงทุนบินลัดฟ้าไปถ่ายทำยังประเทศเล็ก ๆ ในทวีปยุโรป มอลต้าหรือสาธารณรัฐมอลต้าอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และอยู่ทางใต้ของประเทศอิตาลี เป็นเกาะขนาดเล็ก ซึ่งเล็กกว่าสิงคโปร์เสียอีก แต่ความสวยไม่เล็กเพราะความสวยงามของเมืองนี้ก็ระดับเป็นโลเคชันถ่ายทำซี่รี่ย์ดังอย่าง Game of thrones เลยทีเดียว

โดยมอลต้ามีเกาะทั้งหมด 3 เกาะด้วยกัน คือ เกาะมอลต้า (Malta island) เกาะโกโซ (Gozo island) และเกาะโคมิโน (Comino island) โดยมีวัลเลตตา (Valletta) เป็นเมืองหลวง ในอดีตมีการสู้รบกันทำให้ในอดีตมีการสร้างกำแพงสูงใหญ่และยังหลงเหลือร่องรอยอารยธรรมมาถึงปัจจุบัน ภาพที่ตาสองข้างเห็นคือเมืองที่มีสถาปัตยกรรมโบราณ ดูเก่าแก่ ส่วนภาพที่ใจเห็นคือ เหมือนเรากำลังย้อนเวลาไปชมเมืองสมัยศตวรรษที่ 16 เพราะสถาปัตยกรรมเหล่านั้นยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

สถานที่ต่อมาคือ สถานที่ที่หลายคนคุ้นตาจากเรื่อง Game of thrones ซึ่งก็คือเชิงหินที่ตรงกลางทะลุเกือบจะเป็นช่องสี่เหลี่ยม จึงคล้ายกับหน้าต่างบานโตที่ตั้งอยู่ริมทะเลสีน้ำเงินเข้ม โดยเชิงหินนี้ เรียกว่า หน้าต่าง Azure บนเกาะโกโซ ใครมามอลต้าก็จะไม่พลาดมาเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก แต่น่าเสียดายตอนนี้เชิงหินได้พังลงมา แต่ความสวยงามของประเทศแห่งนี้ไม่ได้มีเท่านี้ สามารถเยี่ยมชมสถานที่อื่น ๆ และทำกิจกรรมต่าง ๆ บนเกาะนี้ได้ เช่น การล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ของเกาะ การดำน้ำชมปะการัง เนื่องจากภายใต้ผืนน้ำนี้ยังคงมีรอยแผลแห่งการรบที่จมดิ่งอยู่ใต้ทะเล ผู้คนจึงนิยมดำน้ำลงไปบันทึกประวัติศาสตร์ให้เห็นกับตาตัวเอง กิจกรรมต่อมาคือ แวะขี่ม้าที่ อ่าวโกลเด้น (Golden bay) โดยนักท่องเที่ยวผู้โรแมนติกนิยมขี่ม้าชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ ถือเป็นการจบวันได้อย่างสวยงาม

แหวกม่านหมู่บ้านป๊อบอาย (Popeyes Village) จากฉากหนังสู่สถานที่ท่องเที่ยว

หมู่บ้านป๊อบอายแห่งมอลต้า ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นฉากหลังของการ์ตูนดังที่ทั่วโลกต่างรู้จัก บ้านที่สร้างขึ้นมาทั้งหมด 19 หลัง แต่ละหลังมีรูปร่างแสนน่ารัก สีสันสดใส เขียวบ้าง ครีมบ้างและสีอื่น ๆ สลับกันไปมาดูแฟนซี ภายในมีรูปปั้นของตัวละครเช่น พระเอกคือตัวป๊อบอายเอง และที่ขาดไม่ได้คือสาวสวยของป๊อบอาย ชื่อ โอลีฟ ตามด้วย ออยล์, บลูโต, สวีทพี และวิมปี ให้ทุกคนได้เก็บภาพกับเหล่าตัวการ์ตูนอมตะแบบแนบชิด และหากใครเป็นสาวกป๊อบอายแล้วล่ะก็ หมู่บ้านแห่งนี้มีพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวของการ์ตูนเรื่องนี้ด้วย หากใครชอบดูแบบภาพยนตร์ด้านในก็มีให้ชม เรียกได้ว่าใครชื่นชอบป๊อบอายหลังจากได้มาที่นี่จะต้องกลับมาอีกอย่างแน่นอน

ใครเป็นสายตามรอยซี่รี่ย์ การ์ตูน หรือหนังเรื่องโปรด คงชื่นชอบหากได้ลองไปสัมผัสกับสถานที่จริงของสิ่งที่ตนชื่นชอบ และหากใครได้มาที่นี่จริง ๆ หรือชอบออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก จะพบว่าไม่ว่าจะที่ไหน ๆ ในโลก การเห็นด้วยตาตัวเองย่อมสวยกว่ามองผ่านภาพถ่ายเสมอ

เก็บตะวัน ณ อินเล (Inle) พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตลูกทะเลชาวอินทา (Intha)

กว่า 1,000 กิโลเมตรโดยประมาณหากปักหมุดจากกรุงเทพมหานคร มุ่งสู่สถานที่แห่งหนึ่งอันแสนสงบ เดินทางหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองหลวงผ่านนกเหล็กจากประเทศไทยสู่เมืองอันสวยงามในประเทศเมียนมาร์ โดยจุดหมายปลายในครั้งนี้คือ ผืนน้ำที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงชันตระหง่าน ซับซ้อนและสวยงามในรัฐฉาน และสัมผัสกับความงามของสายน้ำกว้างใหญ่ สุดลูกหูลูกตา ที่มีชื่อว่า ทะเลสาบอินเล

เก็บตะวัน ณ อินเล

สายน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ยิ่งเป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตกดินด้วยแล้ว ยิ่งเป็นช่วงที่เพิ่มความสวยให้กับทะเลสาบแห่งนี้ขึ้นมาอย่างมาก สีส้มคละสีทองสว่างของดวงอาทิตย์ที่ตัดกับสีครามของท้องฟ้ายามเย็น ที่ค่อย ๆ เคลื่อนจมลงสู่สีฟ้าครามของทะเลสาบ แถมยังรายล้อมด้วยยอดภูเขาสูงลิ่วที่ปกคลุมด้วยหมู่ต้นไม้สีเขียวขจี ภาพตรงหน้าที่งดงามขนาดนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนมากมาย ต่างหลงใหลและอยากจะมาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง โดยช่วงเวลาที่เหมาะกับการเดินทางมาชมความงามของทะเลสาบอินเลแห่งนี้ คือ ช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่หากใครสะดวกมาฤดูอื่น ๆ ก็มาได้เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถมาชมได้ตลอดทั้งปี โดยผู้ที่จะพาเยี่ยมชมไม่ใช่ใครที่ไหน แต่จะเป็นเจ้าบ้านผู้อาศัย ณ ผืนน้ำแห่งนี้มายาวนานกว่าร้อยปี ผู้ที่เรียกตัวเองว่าชาวอินทาที่มีความหมายว่า ลูกทะเล

สัมผัสวิถีชีวิตลูกทะเลชาวอินทา

กว่าร้อยปีที่ชาวอินทา อาศัยอยู่และพึ่งพาสายน้ำอินเลแห่งนี้ จนอาจเรียกได้ว่าทั้งพวกเขาและสายน้ำต่างหายใจไปพร้อม ๆ กัน นักท่องเที่ยวหลายคนมาที่นี่เพื่อชมความงามของทะเลสาบอินเล แต่ก็มีไม่น้อยที่มาเนื่องจากอยากสัมผัสวิถีชีวิตลูกทะเลที่ชื่ออินทา เนื่องจากการใช้ชีวิตเคียงคู่ไปกับสายน้ำที่ไม่มีคำว่าธรรมดาของชาวอินทาโด่งดังไปทั่วโลก เช่น ระหว่างที่เหมาเรือของชาวอินทา เพื่อชมความงามของทะเลสาบแห่งนี้ ชาวอินทาไม่ใช้ไม้พายในการพายเรือแต่พายโดยใช้ขาและเท้าของตัวเอง นอกจากขาและเท้าจะพายเรือได้แล้วยังใช้ในการบังคับทิศทางเรือได้ด้วย สร้างความประหลาดใจไม่น้อย หากมความงามของทะเลสาบจนอิ่มแล้ว เราสามารถบอกคนเรือเพื่อไปยังหมู่บ้านที่เปิดให้ชมการเรียนรู้วิธีการถักผ้า ทอผ้าอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของผู้คนที่นี่ และบ้านที่เราสามารถแวะเข้าไปชมได้นั้นก็เป็นบ้านจริง ๆ ของชาวบ้านใจดีที่ตั้งใจเปิดต้อนรับทุกคน

อีก 1 ภูมิปัญญาของชาวอินทาที่น่าทึ่งคือ การทำการเกษตรบนผืนน้ำ หรือลักษณะคือแปลงเกษตรที่ลอยอยู่บนน้ำ ภาพที่เห็นจะเป็นแปลงผักที่ลอยอยู่บนน้ำจริง ๆ โดยชาวบ้านจะใช้ไม้ไผ่ยึดไม่ให้ลอยไปไหนไกล พวกเขาเล่าว่าจะนำวัชพืชมาทำเป็นแพก่อน แล้วค่อยปลูกพืชผักสวนครัวต่าง ๆ และก็นำมาทำเป็นอาหารรวมถึงอาหารที่ทำให้เราทานด้วย ถือเป็นภูมิปัญญาที่เก่าแก่และสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงทุกวันนี้

ความเรียบง่ายของชาวอินคาและการปลอบโยนเราด้วยความเงียบสงบของสายน้ำ ถือเป็นการชาร์จพลังให้กับชีวิตไม่น้อย ทำให้ความเหนื่อยล้าจากการทำงานในเมืองใหญ่ที่มากไปด้วยผู้คน ถูกขจัดโดยสิ้น การเอาเท้าจุ่มน้ำเย็น ๆ นั่งมองผู้คนยืนพายเรือเพื่อสอดส่องแปลงผักลอยน้ำของตนน่าจะให้ให้ใครหลาย ๆ คนแอบมีรอยยิ้มและพลังในการกลับไปใช้ชีวิตอีกครั้งอย่างแน่นอน

เมืองเล็กแต่มีคุณภาพที่น่าสนใจของญี่ปุ่น คุณอาจไม่เคยรู้ว่าสวยงามขนาดไหน

ทุกครั้งที่พูดถึงญี่ปุ่นและเมื่อผู้คนต้องการไปเที่ยวญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงโตเกียวและเกียวโตมาก่อนเท่านั้น แต่รู้กันหรือไม่ว่าในประเทศญี่ปุ่นยังมีเมืองเล็ก ๆ และเมืองอื่น ๆ ที่มีความสวยงามไม่แพ้กันกับเมืองใหญ่ ๆ อย่างโตเกียวหรือเกียวโตเลย ดังนั้นทำไมไม่ลองหลีกเลี่ยงฝูงชนและความวุ่นวายของเมืองใหญ่ แล้วเดินทางไปยังเมืองเหล่านี้แทน?

แกะรอยประวัติศาสตร์จากปราสาทเก่าแก่ ชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองมัตสึเอะ

มัตสึเอะ เมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโอฮาชิ เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สวยงามแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองที่มีปราสาทเก่าแก่หลงเหลืออยู่จำนวนถึง 12 แห่ง ปราสาทมัตสึเอะหรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อปราสาทโคลเวอร์ เป็นหนึ่งในปราสาทไม้ไม่กี่แห่งของญี่ปุ่นที่ยังคงรักษารูปแบบไว้ได้อย่างดั้งเดิม
เมืองมัตสึเอะมีชื่อเสียงในด้านวัฒนธรรมพิธีชงชาและขนมหวานที่มาพร้อมกับพิธีชงชา

เหตุที่พิธีชงชาในมัตสึเอะนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังได้นั้นคงต้องย้อนกลับไปในสมัยของ Matsudaira Daimy ที่เจ็ด หรือMatsudaira Harusato ผู้ที่ชื่นชอบพิธีชงชาและมีชื่อเสียงในฐานะอาจารย์ของพิธีชงชาเหล่านี้ จากอิทธิพลของเขาจึงทำให้มีวัฒนธรรมการชงชาในมัตสึเอะมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นคุณควรไปที่โรงน้ำชาและสัมผัสประสบการณ์การทำพิธีชงชาด้วยตัวคุณเองในมัตสึเอะ หากคุณมีโอกาส และในขณะที่คุณได้ไปเยือนเมืองมัตสึเอะก็อย่าลืมแวะชมสวน Yuushien ซึ่งสวน Yuushien นั้น เป็นสวนที่โดดเด่นและได้มาตรฐานสวนของญี่ปุ่นที่ประดับไปด้วยดอกไม้และน้ำตกสวยดังเทพนิยาย และหากมีโอกาสได้ไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ซึ่งคุณจะได้พบกับ Chisen Peony ซึ่งเป็นดอกโบตั๋นที่มีเฉพาะในสวน Yuushien

ไปเที่ยวทะเลของญี่ปุ่นและเดินชมศิลปะสวย ๆ ที่เกาะนาโอชิมะ

นาโอชิมะ เป็นเมืองเกาะทั้งเกาะที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่สนใจศิลปะสมัยใหม่ เมืองนาโอชิมะแห่งนี้ตั้งอยู่ในทะเล SetoInland ซึ่งทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น เกาะนี้ถูกซื้อโดยบริษัท Benesse Corporation ซึ่งต่อมาได้สร้างพิพิธภัณฑ์และงานศิลปะทั่วเกาะ พิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ในเกาะนี้ถูกสร้างขึ้นโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่นชื่ออันโดทาดาโอะ ซึ่งเขาได้รวมเอาความงามตามธรรมชาติของเกาะนาโอชิมะเข้าไว้กับงานศิลปะ ดังนั้นผู้มาเยือนเกาะนาโอชิมะและเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์จึงสามารถคาดหวังได้ว่าจะเห็นถ้ำใต้ดินที่เต็มไปด้วยความเขียวขจีซึ่งเติมเต็มพิพิธภัณฑ์ที่ทันสมัย แม้แต่อาคารที่ถูกทิ้งร้างก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นงานศิลปะในบ้าน นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์บนเกาะนาโอชิมะแล้ว ก็ยังมี Benesse House ซึ่งเป็นโรงแรมที่คุณสามารถเดินชมภาพเขียนมิติใหม่ ที่อยู่ในแกลเลอรี่ของ Beness House ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเติมเต็มชีวิตชีวาให้กับเกาะนาโอชิมะแห่งนี้

ดังนั้นในโอกาสต่อไปหากคิดที่จะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นก็อย่างลืมคิดถึงเมืองเล็ก ๆ อันแสนสวยงาม ที่มีทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ สถาปัตยกรรม ทัศนียภาพ รอให้นักเดินทางได้ไปสัมผัสและพักผ่อนอย่างเงียบสงบหลีกหนีความวุ่นวายของสังคมในเมืองใหญ่

ประเทศตุรกีประเทศแห่งมนตรามหาเสน่ห์ของตะวันออกกลาง

ประเทศตุรกีเป็นประเทศที่มีพรมแดนคร่อมอยู่ระหว่างยุโรปตะวันออกและเอเชียตะวันตก ซึ่งเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมแบบผสมผสานของกรีกโบราณ เปอร์เซีย โรมัน ไบเซนไทน์ และออตโตมัน ประเทศที่มีมหานครอันสวยงามอย่างมหานครอิสตันบูลที่ตั้งอยู่บนช่องแคบ Bosphorus ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ประวัติศาสตร์ทางศาสนาองสุเหร่า HagaiSophia ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปทรงโดมสูงตระหง่าน ด้านในถูกประดับประดาไปด้วยโมเสกตามแบบสถาปัตยกรรมของโบสถ์คริสเตียนไบเซนไทน์ ถูกสร้างขึ้นในช่วงราว ๆ ศตวรรษที่17 ปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์อายาโซเฟีย และยังมีพระราชวังสุลต่านที่งดงามอย่างพระราชวัง Topkapi และเมืองหลวงที่ทันสมัยอย่างเมืองอังการา

อังการาเมืองหลวงของประเทศตุรกีที่ทันสมัย แต่คงไว้ด้วยเอกลักษณ์

อังการาเป็นชื่อเมืองหลวงของประเทศตุรกี ซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคอนาโตเลียส่วนกลางของประเทศตุรกีเป็นศูนย์กลางของศิลปะการแสดงและเป็นที่ตั้งของ State Opera and Ballet, Presidential Symphony Orchestra และ บริษัท โรงละครแห่งชาติหลายแห่ง และสุสาน Anitkabir ที่ฝั่งศพของ Kemal Ataturk ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศตุรกี ผู้ซึ่งประกาศให้เมืองอังการาเป็นเมืองหลวงในปี 1923 อีกทั้งระบบเศรษฐกิจของประเทศตุรกี ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะประเทศตุรกีมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจทั่วโลก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศตุรกีมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 4.8% ในปี 2009 และเติบโตอย่างต่อเนื่องถึงประมาณ 8.9% ในปี 2010 ต่อจากนั้นก็ลดลงสู่ระดับการเติบโตประมาณ 3% ในปี 2012 ซึ่งก็ยังถือได้ว่ายังอยู่ในเกรนที่ดี การแบ่งโควต้าของระบบเศรษฐกิจภายในประเทศของตุรกีนั้นโค้วตาส่วนใหญ่ของเศรษฐกิจจะถูกแบ่งให้ในภาคบริการสูงถึง 72% ส่วนของภาคอุตสากรรมอยู่ที่ประมาณ 19.5% และภาคการเกษตรเพียงแค่ 8.5% เท่านั้น เศรษฐกิจตุรกีอยู่ในอันดับที่ 16 ของรายการเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากตัวเลขของปี 2556 ซึ่งรายได้เฉลี่ยของประชาการชาวตุรกีต่อคนอยู่ที่ ประมาณ 10,782 ดอลลาร์ นั่นก็ไม่น่าแปลกใจเลยกับความหรูหราของประชากรในเมืองหลวงที่เป็นมนตรามหาเสน่ห์แห่งนี้

ชื่นชมความมหัศจรรย์ของสถานที่ท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกคาปาโดเซียในตุรกี

เมืองคาปาโดเซียพื้นที่กึ่งแห้งแล้งในภาคกลางของตุรกี เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ปล่องไฟนางฟ้า” (fairy chimneys) ที่มีความโดดเด่นและมีรูปร่างสูงเป็นก้อนหินรูปทรงกลม ตั้งอยู่ในพื้นที่ระหว่าหุบเขา Monks Valley หุบเขา Göreme และหุบเขาอื่น ๆ ที่อยู่รายรอบมีทัศนียภาพอันงดงามที่ดีที่สุดในภูมิภาค ที่นี่มีเมืองใต้ดินอย่างKaymakli ซึ่งเป็นที่ตั้งถิ่นฐานใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดและลึกที่สุด ซึ่งมีความลึกถึง 8 ระดับเชื่อมต่อกันเป็นอุโมงค์แคบและพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Goreme ซึ่งคุณสามารถชมโบสถ์ที่ทำจากหินซึ่งแกะสลักโดยพระคริสเตียนยุคแรก

ยังมีหมู่บ้านกรีกเก่าที่ถูกทิ้งร้างหลังจากการแลกเปลี่ยนประชากรในปี 192 CavuSin หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บนฝั่งของแม่น้ำแดง ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในตุรกี หมู่บ้านที่ขึ้นชื่อในเรื่องของเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราชโดยชาวฮิตไทต์ คุณอาจจะต้องตื่นตาไปกับร่องรอยธรรมชาติที่ Pasabag หรือที่เรียกว่า Monks Valley เพราะโบสถ์ของเซนต์ไซเมียนตั้งอยู่ในหุบเขา และ Devrent Valley ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Imagination valley หุบเขามีหินสีแดงแปลก ๆ บางแห่งมีลักษณะคล้ายสัตว์แบบอูฐ จิ้งจก ไก่เป็นต้น

ที่ประเทศตุรกียังมีสถานที่งดงามและเมืองที่น่าหลงใหลอีกหลายแห่ง พร้อมทั้งกิจกรรมสุดประทับใจกับการชื่นชมทิวทัศน์ที่แปลกตาของธรรมชาติ และร่องรอยของอารยธรรมอดีตอย่างหาที่ไหนไม่ได้ พร้อมทั้งความหรูหราและทันสมัยของประเทศที่มีเศรษฐกิจดีอันดับต้น ๆ ของโลก

รู้จักประวัติศาสตร์และเยี่ยมชมเมืองอุไดปูร์ประเทศอินเดีย

เมืองอุไดปูร์ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดย Maharana Udai Singh ในปีค. ศ. 1559 ในฐานะเมืองหลวงใหม่ของอาณาจักร ซึ่งต่อมาเมืองอุไดปูร์นี้ได้ถูกขนานนามว่าเป็น “เวนิสแห่งตะวันออก” เป็นเมืองมีชื่อเสียงในด้านศิลปะและงานฝีมือ อีกทั้งยังมีเหมืองแร่สังกะสีและทองแดง รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของทะเลสาบเทียมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย อย่างทะเลสาบ Jaisamand และเป็นหนึ่งในหอดูดาวพลังงานแสงอาทิตย์ที่ดีที่สุดของเอเชีย เมืองอุไดปูร์แห่งนี้นับได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในตัวของมันเอง แม้เพียงภาพวาดขนาดเล็กของอุไดปูร์ก็ยังโด่งดังไปทั่วโลก

สถาปัตยกรรมที่สวยงามและแสดงถึงความแข็งแกร่งของเมืองอุไดปูร์

ป้อมปราการแห่งอุไดปูร์ ป้อมปราการแห่งอุไดปูร์แห่งนี้ยังคงรักษาประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเอาไว้ได้อย่างงดงาม แสดงให้เห็นถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ของราชวงศ์ของ Mewar ด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่งเหล่านี้ได้ต่อต้านสภาพอากาศทุกประเภทในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ป้อมที่โดดเด่นที่สุดคือป้อม Kumbhalgarh และ Chittorgarh

ป้อม Chittorgarh ตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้กับแม่น้ำ Gambheri ป้อม Chittorgarh เป็นที่รู้จักในฐานะป้อมที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยจักรวรรดิ Maurya ช่วงศตวรรษที่ 7 แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองอุไดปูร์แห่งนี้ และการเวลาก็เป็นบททดสอบที่ดีกับความแข็งแกร่งของป้อมปราการที่ผ่านสงครามมาอย่างมากมายในครั้งอดีตกาล และในปัจจุบันป้อมแห่งนี้ได้เปิดให้นักเดินทางจากทั่วโลกเข้าชื่นชมความงามสง่าของสถาปัตยกรรมชั้นเลิศ

ป้อม Kumbhalgarh ป้อมปราการ Kumbhalgarh ตั้งอยู่บนยอดเขา Aravalli Hills ซึ่งอยู่ในเขต Rajasmand ของเมืองอุไดปูร์ ป้อมแห่งนี้เป็นหนึ่งในป้อมที่ไม่มีใครสามารถที่จะเอาชนะความแข็งเกร่งของอาณาจักร Mewar ได้ ซึ่งนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิ

เมื่อได้มาเยือนอุไดปูร์ต้องเช็คอินท์สองวังนี้ให้ได้

สำหรับทุกทริปของการเดินทาง เราควรจัดสรรเวลาในการเสพศิลปะของสถาปัตยกรรมที่สำคัญของเมืองหรือประเทศที่เรามีโอกาสได้ไปเยือน อย่างเช่นการใช้เวลาทั้งวันเพื่อเยี่ยมชมพระราชวัง ซึ่งเมืองอุไดปูร์แห่งนี้มีสองพระราชวังสำคัญอย่าง City Palace และ Lake Palace ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในไฮไลท์แห่งเมืองอุไดปูร์เลยก็ว่าได้

พระราชวัง City Palace พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่เหนือทะเลสาบ Pichola ซึ่งมีทั้งระเบียง, โดม, และหอคอยของพระราชวัง City Palace แห่งนี้ได้ทำให้สามารถเห็นมุมมองที่สวยงามทั้งในส่วนของตัวเมืองและทะเลสาบ อีกทั้งพระราชวังแห่งนี้ยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ด้วย ซึ่งอนุรักษ์การแสดงศิลปะและงานฝีมือโบราณต่าง ๆ

พระราชวัง Lake Palace แต่เดิมเคยเรียกชื่อวังแห่งนี้ว่า Jag Niwas และครั้งหนึ่งพระราชวัง Lake Palace นี้เคยถูกใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อน พระราชวัง Lake Palace ถูกสร้างขึ้นบนเกาะลอยในทะเลสาบ Pichola ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้ถูกดัดแปลงเป็นโรงแรม ซึ่งผนังของโรงแรมแห่งนี้ใช้เป็นหินอ่อนสีดำและสีขาว ประดับด้วยหินกึ่งมีค่า ทำให้วิจิตรงดงามอร่ามตาสำหรับแขกที่เข้าพักและผู้มาเยือนโรงแรมแห่งนี้เป็นอย่างมาก

เมืองอุไดปุร์ นครอันยิ่งใหญ่ที่รอคอยการมาเยือนของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก จากความหลากหลายทางวัฒนธรรม เมืองแห่งทะเลสาบที่สวยงาม ความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมอันงดงาม ที่ควรต้องไปเยี่ยมชม “เวนิสแห่งตะวันออก” ให้ได้สักครั้งหนึ่ง เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความอัศจรรย์ที่มนุษย์เราเป็นสร้างขึ้นมา

ควีนส์ทาวน์ เมืองแห่งการผจญภัยทางตอนใต้ของนิวซีแลนด์

เมืองควีนส์ทาวน์ตั้งอยู่บนชายฝั่งของ LakeWakatipu ทางตอนใต้ของประเทศนิวซีแลนด์ และควีนส์ทาวน์ก็ยังมีพื้นที่อยู่ติดกับทางตอนใต้ของเทือกเขาแอลป์ ควีนทาวน์เป็นที่รู้จักกันดีกับเรื่องของการกีฬาแบบผจญภัย และยังเป็นฐานสำหรับการสำรวจไร่องุ่นและเมืองเหมืองแร่อันเก่าแก่

ชั่วโมงพักผ่อนด้วยความสนุกสนานสำหรับครอบครัวในควีนส์ทาวน์

ควีนส์ทาวน์เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุดพักผ่อนของครอบครัวที่น่าตื่นเต้น และเต็มไปด้วยความสนุกสนานพร้อมด้วยกิจกรรมมากมาย ในขณะที่ควีนส์ทาวน์เมืองที่มีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางในฐานะของแหล่งท่องเที่ยวเชิงผจญภัยที่โด่งดังที่สุดของนิวซีแลนด์ เมืองที่เต็มไปด้วยพลังและบรรยากาศของผู้คนที่เป็นมิตร พร้อมทั้งกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เมืองที่คุณจะได้พบกิจกรรมกลางแจ้งที่น่าทึ่งทำให้ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมสำหรับครอบครัว

ควีนส์ทาวน์มีความสนุกสนานให้กับการพักผ่อนของคนในครอบครัวสำหรับทุกวัย นับตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยรุ่น คุณจะพบกับกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวตั้งแต่แบบสนามเด็กเล่นไปจนถึงการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น เพื่อตอบสนองความต้องการให้กับคนทุกช่วงอายุในครอบครัวของคุณ ซึ่งกิจกรรมกลางแจ้งในควีนส์ทาวน์มีตั้งแต่ในแม่น้ำไปจนถึงยอดเขา หรือจะเป็นสนามเด็กเล่นแบบธรรมชาติ รับรองว่าควีนส์ทาวน์จะเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการมาเยือนนิวซีแลนด์สำหรับผู้ที่รักกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบการเล่นสกีไปจนถึงการขี่จักรยานภูเขา เดินป่า และวิ่ง หรือจะกระตุ้นหัวใจด้วยการบันจี้จัมพ์กระโดดลงจากสะพานแขวน Kawarau Gorge และพายเรือเจ็ทในแม่น้ำ Shotover และ Dart

เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การรับประทานอาหารบนยอดเขาBob’sPeakกับบรรยากาศแห่งสวรรค์

ควีนส์ทาวน์ขึ้นชื่อว่าเมืองแห่งการผจญภัยแม้กระทั้งการรับประทานก็ยังไม่ธรรมดา เมืองควีนส์ทาวน์แห่งนี้ยังมีจุดชมวิวที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งอย่างยอดเข าBob’s Peak ซึ่งการขึ้นสู่ยอดเขาแห่งนี้วิธีที่นิยมที่สุดก็คงหนี้ไม่พ้นการนั่งกระเช้าลอยฟ้า หรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีกับ Skyline Gondola ที่จะพาให้คุณได้ชื่นชมทัศนียภาพอันสวยสดงดงามของควีนส์ทาวน์ อีกทั้งด้านบนสุดคุณจะได้ลิ้มลองอาหารแสนอร่อยไ ม่ว่าจะเป็นมื้อกลางวันหรือมื้อค่ำกั บร้านอาหาร Stratosfare ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา

ในห้องอาหาร Stratosfare แห่งนี้คุณจะได้พบกับอาหารแบบนิวซีแลนด์แท้ ๆ อันเป็นสัญลักษณ์และผสมผสานกับอาหาแบบนานาชาติ และที่พลาดไม่ได้อีกอย่างกับอาหารทะเลสด ๆ พร้อมด้วยขนมที่อร่อยที่สุดนอกจากนี้ก็ยังมีอาหารมังสวิรัติที่ทำรสชาติออกมาได้อร่อยไม่แพ้กันกับอาหารจานปกติเลย หากเป็นไปได้ห้องอาหาร Stratosfare แห่งนี้เหมาะกับการชมพระอาทิตย์ตกดินพร้อมรับประทานอาหารค่ำแบบชิว ๆ หรือนั่งจิบไวน์ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่โรแมนติกที่สุด แต่ถึงจะเป็นการรับประทานอาหารมื้อกลางวันก็รับรองได้ว่าคุณจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงาม และโอกาสในการถ่ายรูปมากมาย หลังจากอิ่มกับอาหารและบรรยากาศกับทิวทัศน์กันเพียงพอแล้ว คุณก็จะได้สัมผัสกับความตื่นเต้นอีกครั้งกับการนั่งรถเลื่อนลูจ ที่เป็นวิธีการกลับลงมาจากยอดเขาที่คนส่วนใหญ่ต่างชื่นชอบกับอีกหนึ่งกิจกรรมผจญภัยนี้ และคุณก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน

เมืองผจญภัยแห่งนี้มีบริการหลากหลายกิจกรรมเตรียมไว้ให้กับการออกกำลังกายสำหรับทุกคน ตั้งแต่แบบเริ่มต้นไปจนถึงการสร้างแรงผลักดันบนเส้นทางสู่การเป็นนักกีฬา ทุกกิจกรรมเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสนุกสนาน เป็นประสบการณ์ที่ครั้งหนึ่งควรได้ลองสัมผัสและคุณจะประทับใจแบบไม่มีวันลืม

ทรูจิลโล เมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสามของเปรู

ทรูจิลโลเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเปรู ทรูจิลโลเป็นที่รู้จักกันดีของนักเดินทางในเรื่องราวของการเต้นรำแบบพื้นเมืองของประเทศอย่างมารีเนรา และยังเป็นที่ตั้งของมหาวิหารทรูจิลโลอันยิ่งใหญ่ที่มีด้านหน้าสีเหลืองที่สดใส ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางของยุคอาณานิคม และยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Casa Urquiaga และ Iturregui Palace ที่ภายในถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมเป็นแบบนีโอคลาสสิกและมีรูปปั้นหินอ่อนแบบอิตาลีตกแต่งอยู่บริเวณโดยรอบ หากไปทางทิศตะวันตกก็จะได้พบกับซากเมืองร้างขนาดใหญ่อย่าง Chan Chan ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักร Chimu ในสมัยโบราณ

สำรวจซากปรักหักพังและเรียนรู้การโต้คลื่นในทรูจิลโล

ก่อนที่อินคาจะเข้ายึดครองเปรูทั้งหมดพื้ นที่ของทรูจิลโลถูกปกครองโดยชาว Moches อารยธรรมแห่งแรกของประเทศ ซึ่งชาว Moches ได้ถือครองพื้นที่จากประมาณ 100 ถึง 800 เอเคอร์ สามารถเยี่ยมชมร่องรอยแห่งอารยธรรมประวัติศาสตร์ได้ที่ Huaca del Sol และ Huaca de la Luna ร่องรอยที่ดีที่สุดของวัฒนธรรม Moche และซากปรักหักพังเมืองร้างที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในพื้นที่อย่าง Chan Chan ที่ถูกสร้างขึ้นโดยวัฒนธรรม Chimu ซึ่งเป็นอารยธรรมที่สองที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของเมืองทรูจิลโล

ที่มีผู้คนและนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกยังคงแวะเวียนหลังไหลมาเยี่ยมชมซากประวัติศาสตร์แห่งนี้บ่อยที่สุด เนื่องจากมีที่ขนาดใหญ่และคุณภาพของซากวัตถุที่ถูกค้นพบซึ่งกาารเดินทางไปชมสถานที่ประวัติศาสตร์นี้ก็ใช้เวลาเดินทางโดยรถประจำทางเพียง 10 นาทีจากทรูจิลโลหรือฮวนชาโก
นอกจากการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์แล้วเมืองทรูจิลโล ก็ยังเป็นสถานที่พักผ่อนที่ดีที่สุดสถานที่หนึ่งอีกด้วย เพราะหากคุณต้องที่จะเรียนรู้หรือลองเล่นกระดานโต้คลื่นแล้ว ฮวนชาโกเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเล่นกีฬานี้เป็นอย่างมาก ซึ่งที่นั้นมีโรงเรียนสอนโต้คลื่นที่เปิดให้บริการอยู่มากมาย รอให้นักเดินทางได้ไปลองสัมผัสมนต์สเน่ห์ของกีฬาชนิดนี้

วันพักผ่อนสบาย ๆ ในเมืองทรูจิลโลของประเทศเปรู

ใช้เวลากับเกลียวคลื่นบนเรือโบราณอย่าง Caballitos de totora หนึ่งในประเพณีที่เก่าแก่ที่สุดของเปรู Huanchaco นั้นเป็นหมู่บ้านชาวประมงซึ่งตั้งห่างจากเมืองทรูจิลโลไปประมาณ 15 นาที ที่นั่นคุณจะพบกับชาวประมงที่สร้างเรือเพื่อตกปลาในน้ำนอกชายหาด ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมานานกว่า 3,000 ปี ชาวประมงและเรือของพวกเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชายหาดแห่งนี้ และด้วยรูปทรงเรือที่มีแปลก ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก และนั่นจึงกลายเป็นอีกหนึ่งในภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของเปรูมากขึ้น และที่นั้นคุณก็จะต้องเพลิดเพลินไปกับอาหารท้องถิ่นของ Huanchaco ซึ่งกลายเป็นหนึ่งเมืองที่เป็นสวรรค์ของเหล่านักชิมของเปรู คุณจะพบทุกสิ่งจากอาหารทะเลสดหนึ่งเมนูคลาสสิกอย่าง ceviche และอาหารฟิวชั่นฟู้ดอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ

และนอกจากอาหารทะเลสด ๆ แล้วเมืองชายหาดแห่งนี้ก็ยังเป็นที่รู้จักกันดี ว่ามีร้านอาหารมังสวิรัติให้เลือกมากมาก และที่ Huanchaco นี้ก็ยังมีร้าน Picarone sที่ดีที่สุดหนึ่งร้าน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ Picarones เป็นอาหารว่างที่ได้รับความนิยมกินในเวลากลางคืนของชาวเปรู
อีกหนึ่งประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดกับการชมพระอาทิตย์ตกเหนือใจกลางอาณานิคมทรูจิลโลแห่งนี้ แล้วก็เดินเล่นไปในใจกลางเมืองชื่นชมทัศนียภาพความสวยงามของอาคารโดยรอบ ในท่ามกลางสายลมและบรรยากาศยามค่ำคืนที่เย็นสบาย ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องสถาปัตยกรรม และความงามของยุคอาณานิคมแห่งนี้

เมืองทรูจิลโลเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศเปรู รอคอยการเดินทางมาพักผ่อนของนักท่องเที่ยว ซึ่งสามารถเดินทางต่อไปได้อย่างสะดวกสบาย และหากคุณมีเวลาว่างเพียงหนึ่งวันสำหรับการพักผ่อนในทรูจิลโลนี้ อาจเป็นแนวทางในการชมซากปรักหักพังโบราณสถาปัตยกรรมของอาคารแบบโคโลเนียลที่สวยงาม และยังมีเวลาสำหรับโต้คลื่นและแวะกิน ceviche ที่ดีที่สุดของประเทศเปรู