บล็อก

ออนเซ็น ควรไปสัมผัสสักครั้งเมื่อมีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น

การได้มีโอกาสสัมผัสกับออนเซ็นในญี่ปุ่นนั้นถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต และถ้าหากได้มีโอกาสลองออนเซ็นสักครั้งอาจทำให้คุณรู้สึกติดใจกับเสน่ห์ของวัฒนธรรมการอาบน้ำของชาวญี่ปุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ประเทศญี่ปุ่นมีประเพณีและวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกมาอย่างยาวนาน ไม่เว้นแม้แต่กับเรื่องที่ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อยอย่างการอาบน้ำ แต่นี้ก็คือความงดงามของประเทศญี่ปุ่น

ออนเซ็นคืออะไรแล้วทำไมคนถึงชอบไปอาบน้ำแบบออนเซ็นกัน

ออนเซ็นตามความหมายในภาษาญี่ปุ่นคือน้ำพุร้อน เนื่องจากในประเทศญี่ปุ่นยังคงมีความร้อนใต้ดินอยู่ในเกือบทุกภูมิภาค จึงทำให้มีบ่อน้ำพุร้อนเกิดขึ้น และต่อมาก็มีการสร้างห้องอาบน้ำพุร้อนขึ้นมากมาย เพื่อไว้คอยบริการให้กับประชาชน และหลายเมืองในชนบทของประเทศญี่ปุ่นก็ยังคงมีห้องอาบน้ำพุร้อนสาธารณะที่ตั้งอยู่โดยรอบ แต่ในปัจจุบันได้มีการทำห้องอาบน้ำพุร้อนแบบส่วนตัวเกิดขึ้นในหลายโรงแรมของญี่ปุ่น แต่ก็ยังคงมีแบบสาธารณะอยู่เช่นกัน จึงเป็นที่รู้กันดีหากบอกว่าไปออนเซ็นนั้นก็คือการไปอาบน้ำพุร้อนนั้นเอง และนอกจากการอาบน้ำพุร้อนแบบภายในตัวอาคารแล้ว ในญี่ปุ่นก็ยังมีการอาบน้ำพุร้อนแบบกลางแจ้งอีกด้วย ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่าโระเท็มบุโระ ออนเซ็นทั้งหมดน้ำที่ใช้ส่วนใหญ่จะมาจากบ่อน้ำพุร้อนใต้ดินทั้งนั้น แต่บางแห่งก็มีผสมกับน้ำประปาบ้าง เนื่องจากน้ำพุร้อนนั้นเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในน้ำพุร้อนก็จะมีแร่ธาตุอยู่มาก อย่างเช่นธาตุเหล็ก, ซัลเฟอร์หรือกำมะถัน ที่ดีต่อร่างกายคนเรานั่นเอง และยังมีแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งการแช่น้ำพุร้อนนั้นก็จะช่วยในเรื่องการปรับสมดุลของร่างกายได้ตามความเชื่อ อีกทั้งยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายจึงเป็นที่ชื่นชอบของคนที่ได้เคยลองแช่น้ำพุร้อนหรือออนเซ็นนั่นเอง

ฮิรายุสวรรค์ของการออนเซ็นทามกลางธรรมชาติกับเมืองเล็ก ๆ

ฮิรายุออนเซ็น คือหนึ่งในห้าหมู่บ้านของตำนานหมู่บ้านโอคุฮิดะออนเซ็น ที่ซึ่งมีน้ำพุร้อนมาจากเทือกเขาทาเทยาม่า หรือที่รู้จักกันดีกับเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น หมู่บ้านโอคุฮิดะออนเซ็นประกอบด้วยห้าหมู่บ้าน ตั้งอยู่ในเมืองทาคายามะในจังหวัดกิฟุ คุณสามารถไปยังหมู่บ้านแห่งนี้ได้โดยนั่งรถบัสไปหนึ่งชั่วโมงจากทาคายามะ เราขอแนะนำให้นักท่องเที่ยวมาพักที่ฮิรายุเพราะฮิรายุเป็นศูนย์กลางการคมนาคมหลักของพื้นที่ เมื่อไปถึงที่นั่นคุณสามารถผ่อนคลายและดื่มด่ำกับออนเซ็นกลางแจ้งที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่นกับออนเซ็นทุกที่ในฮิรายุ และด้วยทัศนียภาพอันงดงามของเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่นที่สูงตระหง่าน รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปชื่นชม อีกทั้งสำหรับผู้ชื่นชอบการปีนเขาเมืองฮิรายุนั้นก็ถือว่าเป็นอีกที่หนึ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับกิจกรรมการเดินป่า เนื่องจากสถานที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น หนึ่งในเส้นทางยอดนิยมจากฮิรายุที่จะขึ้นสู้เทือกเขาแอลป์นั้น คือเส้นทางขึ้นกระเช้าลอยฟ้าชินโฮทากะคุ ณจะได้รับมุมมองที่น่าตื่นตาตื่นใจของยอดเขาที่อยู่ใกล้เคียง พร้อมทั้งทัศนียภาพที่งดงามเกินบรรยาย

การแช่ออนเซ็นถือเป็นประสบการณ์การเรียนรู้วัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ อีกทั้งยังถือเป็นการพักผ่อนที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคล้าย ด้วยคุณสมบัติของการบำบัดจากน้ำ พร้อมทั้งการชื่นชมทัศนียภาพของธรรมชาติอันงดงาม ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าลองเมื่อได้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น

ตลุยรอบเมืองพัทยากับ 3 พิพิธภัณฑ์ที่สาวก IG ต้องไปเช็คอิน

เมืองพัทยาถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ด้วยภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยชายหาดขนาดยาวหลายกิโลเมตร จึงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเลือกมาคลายร้อนกันที่นี่ แต่ปัจจุบันพัทยาไม่ได้มีดีแค่ชายหาดสวยงามเท่านั้น เมื่อรอบเมืองพัทยาต่างเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์หลากหลายสไตล์ให้เลือกรับชม และนี่คือ 3 พิพิธภัณฑ์ที่นักท่องเที่ยวผู้รักการถ่ายภาพไม่ควรพลาดเป็นอันขาด

1. Art in Paradise

                Art in Paradise ตั้งอยู่บริเวณพัทยาเหนือ บนถนนพัทยาสาย 2 ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติแห่งแรกของไทยและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่ 5,800 ตารางเมตร อัดแน่นไปด้วยผลงานมากกว่า 140 ภาพให้นักท่องเที่ยวเลือกถ่ายรูปได้อย่างสนุกสนาน ซึ่งแบ่งออกเป็นหลากหลายโซน ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตา, โลกใต้ทะเล, ป่าซาฟารี, ศิลปะคลาสสิค, สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา, ประเพณีไทย, ยุคอียิปต์ และยุคไดโนเสาร์ โดยแต่ละภาพจะมีคำแนะนำตำแหน่งการยืนให้กับนักท่องเที่ยวเพื่อการถ่ายภาพให้ออกมาสมจริง โดยเปิดบริการนักท่องเที่ยวทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 – 22.30 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก (ส่วนสูงไม่เกิน 130 ซม.) 100 บาท ส่วนเด็กความสูงต่ำกว่า 100 ซม. เข้าฟรี

2. Teddy Bear Museum

                Teddy Bear Museum ตั้งอยู่ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาหมีแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมและเก็บภาพคู่กับตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์มากกว่า 2,000 ตัวอย่างใกล้ชิดโดยไม่มีกระจกกั้นเหมือนอย่างพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาหมีแห่งอื่นทั่วโลก ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสและกอดตุ๊กตาหมีได้ทุกตัว ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ได้มีการจัดตุ๊กตาหมีไว้หลายโซน ทั้งโซนอินคา, โซนไดโนเสาร์, โซนฟอสซิล, โซนซาฟารี, โซนใต้ท้องทะเล, โซนคริสต์มาส, โซนอวกาศ, โซนเทพนิยาย, โซนจีน, โซนยุโรป, โซนสนุกสนาน และโซนศิลปะ นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกเป็นตุ๊กตาหมีหลากหลายแบบอีกด้วย ที่นี่เปิดบริการนักท่องเที่ยวทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 – 22.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 250 บาท เด็ก (ส่วนสูงไม่เกิน 130 ซม.) 150 บาท ส่วนเด็กความสูงต่ำกว่า 90 ซม. เข้าฟรี

3. Louis Tusaud’s Waxworks

                Louis Tusaud’s Waxworks หรือ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซด์ ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ห้างสรรพสินค้ารอยัลการ์เด้น บริเวณพัทยาใต้ ภายในเป็นศูนย์รวมหุ่นขี้ผึ้งบุคคลที่มีชื่อเสียงทั่วโลกถึง 68 ตัว ซึ่งปั้นได้เหมือนบุคคลจริงทั้งรูปร่างและขนาด นอกจากนั้นยังตกแต่งบรรยากาศด้วยไฟ แสง สี และกลิ่นให้เสมือนได้ใกล้ชิดกับคนดังจากหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดง, ศิลปินนักร้อง, นักการเมือง และนักกีฬาที่เป็นระดับสตาร์ที่ VWIN การันตีว่าดังจริง รวมไปถึงตัวละครจากภาพยนตร์ดัง โดยนักท่องเที่ยวสามารถกระทบไหล่คนดังชาวไทยได้ถึง 9 คน ได้แก่ ทาทา ยัง, ลูกเกด เมทินี, ภราดร ศรีชาพันธุ์, เขาทราย แกแล็กซี่, แอน ทองประสม, เคน ธีรเดช, แอ๊ด คาราบาว และจา พนม ทางพิพิธภัณฑ์เปิดบริการนักท่องเที่ยวทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 – 23.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 600 บาท เด็ก 300 บาท

หากมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวพัทยาครั้งหน้า อย่าลืมแวะถ่ายภาพที่พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่งข้างต้นอวดเพื่อน ๆ ชาวเน็ต รับรองว่ายอดกดไลค์และคอมเมนต์ถล่มทลายแน่นอน

ทัวร์ธรรมชาติผจญภัย ไปเที่ยวภาคใต้ไม่ได้มีแค่ทะเล

พูดถึงการไปเที่ยวภาคใต้ของบ้านเราทีไร คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงการไปเที่ยวทะเล เล่นหาดทราย ดำน้ำดูปลา หรือเที่ยวเกาะต่าง ๆ แต่รู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วเมืองใต้บ้านเรานั้นยังมีสถานที่เที่ยวอีกมายมายที่รอให้เราได้ไปเยี่ยมชมความสวยงามอยู่ และธรรมชาติของภาคใต้ก็มหัศจรรย์ งดงาม ไม่แพ้ที่อื่นเลย

                เบตง ยะลา

                ปัจจุบันเบตงเริ่มกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากขึ้น และแม้จะอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ค่อนข้างมีความปลอดภัย และไม่ต้องกลัวความเสี่ยงอะไรมากนัก ตัวเบตงนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขารายล้อม ให้บรรยากาศคล้าย ๆ ภาคเหนือเลยล่ะ ในเวลาเช้าก็มีทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ที่มีชื่อตามตัวตำบลอัยเยอร์เวงนั่นเอง โดยทะเลหมอกนี้จะมีให้ชมตลอดทั้งปี อาจจะต้องเดินทางไกลหน่อยเพราะห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 40 กิโลเมตร แต่ถ้าได้มาก็รับรองว่าคุ้มค่าจริง ๆ นอกจากนี้ยังมีที่เที่ยวอีกหลายที่ ทั้งอาหารการกินก็อร่อย และยังได้สัมผัสวิถีชุมชนเล็ก ๆ ของที่นี่อีกด้วยนะ

                เขาหลวง นครศรีธรรมราช

                ป่าใต้ที่นี่จะเป็นป่าดงดิบ ป่าดิบเขา และป่าดิบชื้น เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งใต้ภาคใต้เลยล่ะ นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิวและน้ำตกหลายที่ที่อยู่ในเขตอุทยานเขาหลวงแห่งนี้ เมื่อเดินชมป่าไปตามเส้นทางธรรมชาติแล้วก็จะยังได้พบกับถ้ำแก้วสุรกานต์ ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยเต็มไปหมด และสิ่งที่เลื่องลือเลยก็คือมหาสดำ หรือเฟิร์นนั่นเอง มันจะปกคลุมอยู่ทั่วผืนป่าสวยงามและให้บรรยากาศของป่าโบราณมาก ซึ่งการเดินป่านี้อาจจะเสี่ยงและทรหดอดทนสักหน่อย ต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยนำทางด้วยนะ อย่าลืมเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนไปเดินป่าที่นี่ แล้วจะได้พบกับความสนุก สวยงาม แบบที่คุ้มค่าความเหนื่อยแน่นอน

                เขาสก สุราษฎร์ธานี

                เขาสกนับว่าเป็นป่าฝนสำคัญของภาคใต้เลยก็ว่าได้ โดยตั้งอยู่ในเขื่อนรัชชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลาน ซึ่งบรรยากาศที่นี่จะรายล้อมไปด้วยภูเขามากมายและน้ำใสธรรมชาติ ให้ภาพที่สวยงามอย่างมาก หากอยากได้บรรยากาศดี ๆ แนะนำให้นอนแพกลางหุบเขาที่นี่ ตื่นเช้ามาก็จะเจอกับเมฆหมอกบนภูเขา หรือจะทานอาหารเช้าชิล ๆ ท่ามกลางทัศนียภาพขุนเขา ก็เป็นการพักผ่อนที่สุดแสนจะสบายใจเลยล่ะ นอกจากนี้เขาสกยังมีสถานที่ให้เดินชมป่า มีกิจกรรมขี่ช้าง พายเรือแคนู และล่องแพได้อีกด้วยนะ มาที่นี่ที่เดียวได้เที่ยวครบ

                ถ้ำเลเขากอบ ตรัง

                ขึ้นชื่อว่าถ้ำ แน่นอนว่าธรรมชาติของถ้ำมีทั้งหินงอก หินย้อย และมีน้ำไหลผ่านในถ้ำอีกด้วย ถ้ำเลเขากอบแก่งนี้เปิดให้ใช้เรือล่องเข้าไปด้านในได้ด้วยนะ โดยเปิดให้เข้าชม 5 ถ้ำ ประมาณ 4 กิโลเมตร แต่บางจุดที่เป็นจะสำคัญเลยจำเป็นต้องนอนราบเพื่อชมความสวยงามของเหล่าหินย้อยซึ่งทำให้เห็นภาพที่สวยงามและตื่นเต้นมหัศจรรย์อย่างแน่นอน โดยเปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปี

                เที่ยวใต้ทั้งที ลองเปลี่ยนจากทะเลมาชมป่าไพร ถ้ำสวย ๆ กันบ้าง แล้วจะพบว่าภาคใต้ของเรามีพื้นที่ที่สวยงามอีกมากมายรอให้เราไปสัมผัส

ตะลอนกินของอร่อย ๆ สุดแสนจะชิลไปกับตลาดใกล้กรุง

ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อย สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์เลยก็คือการมาเดินตลาดหาของกินอร่อย ๆ นี่ล่ะ เป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของไทยที่มีมานาน การเดินหาของกินในตลาดนอกจากจะราคาไม่แพง ประหยัดแล้วรสชาติยังอร่อยอีกต่างหาก มีทั้งของกินของช้อปให้เลือกสรรมากมาย ลองมาดูกันว่ามีตลาดไหนบ้างที่คุณอาจไม่เคยรู้จักมาก่อนแต่น่าไปเดินเล่นและไปหาของกินอร่อย ๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้

                ตลาดน้ำสะพานโค้ง สุพรรณบุรี

                ความพิเศษของตลาดที่นี่คือการเดินชมข้าวของและหาของอร่อย ๆ ไปบนสะพานไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำและมีร้านค้าบนเรือขนาบข้างซ้ายขวา ได้บรรยากาศของตลาดน้ำมาก ๆ อาจจะต้องระมัดระวังเดินตกน้ำบ้าง แต่ก็ถือว่าน่าไปเดินมากเลยทีเดียว นอกจากนี้สะพานยังเชื่อมไปยังวัดทองประดิษฐ์ สามารถเข้าไปทำบุญ ไหว้พระ และยังเชื่อมกับจุดชมวิวที่รูปทรงเหมือนสุ่มปลาขนาดยักษ์ เอาไว้ให้ขึ้นไปชมวิว ถ่ายรูปเล่นได้อีกด้วย

                ตลาดน้ำทุ่งบัวแดง นครปฐม

                ตลาดแห่งนี้อยู่ที่บางเลน นครปฐมนี่เอง ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก เป็นตลาดที่เต็มไปด้วยของกิน ของฝากมากมายโดยตัวตลาดจะตั้งอยู่ริมน้ำและมีที่นั่งสำหรับชมวิวที่รายล้อมไปด้วยบึงบัวมากมาย ใครที่แวะไปเดินเล่นก็ยังสามารถลงเรือเพื่อชมบัวแดงใกล้ ๆ ได้ด้วยนะ แนะนำว่าควรไปเช้า ๆ จะได้ไม่เจอกับอากาศที่ร้อนมากนัก และจะได้ชมบัวแดงพันธุ์ดั้งเดิมบานสวย ก่อนที่จะหุบในช่วงสาย การเดินทางก็ไม่ยากถือว่าใกล้กรุงเทพมาก ๆ ต้องลองไปเที่ยวดูสักครั้ง

                ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน สิงห์บุรี

                ขึ้นชื่อว่าตลาดย้อนยุค แน่นอนว่าชาวบ้าน พ่อค้า แม่ค้า ที่มาขายของต่างก็แต่งตัวย้อนยุคราวกับว่าอยู่ในช่วงสมัยก่อน และยังจัดแต่งร้านให้ดูพื้นบ้านคล้ายกับยุคโบราณอีกด้วย ที่นี่เต็มไปด้วยของกินหายากและอาหารท้องถิ่นมากมายให้ได้เลือกรับประทานกัน หากใครอยากกลมกลืนไปกับสถานที่ ที่นี่ก็มีชุดไทยให้เช่าด้วยนะ และเนื่องจากตลาดนี้ตั้งอยู่ในบริเวณวัดโพธิ์เก้าต้น นอกจากมาเดินเล่นเพลิดเพลินแล้วก็ยังสามารถทำบุญ ไหว้พระได้ในที่เดียว

                ตลาดน้ำวัดโตนด นนทบุรี

                ตลาดที่นี่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีพื้นที่ค้าขาย และยังมีสินค้าที่เป็นผลิตผลจากทางเกษตรวางขายอีกด้วย การมาเที่ยวที่นี่ก็เท่ากับว่าได้สัมผัสชีวิตริมคลองอ้อมนนท์และยังได้ช่วยส่งเสริมให้คนในพื้นที่มีรายได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ศูนย์กลางทำกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนทั้งการทอดผ้าป่ากลางน้ำ และมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวล่องเรือเที่ยวชมคลองอีก

                หากวันหยุดนี้ใครไม่รู้จะไปไหน เบื่อเดินห้างแล้วก็ลองไปเดินตลาดเหล่านี้ดู จะได้บรรยากาศสบาย ๆ ผ่อนคลายใจ และยังได้ทานของกินอร่อย ๆ พร้อมกับชมวิถีชีวิตคนในชุมชนอีกด้วยนะ

ช่วงวันหยุดหนาว ๆ มาชวนกันขึ้นเขาดูดาว เช้ามาดูหมอกกันเถอะ

เมื่อเริ่มเข้าสู่หน้าหนาวทีไร ก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสำหรับคนไทยที่เจอหน้าร้อนมาเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดสำหรับอากาศเย็น ๆ ก็ต้องเป็นการไปกางเต็นท์นอนดูดาวบนยอดเขาสิ นอกจากจะได้สัมผัสอากาศหนาว ๆ ท่ามกลางธรรมชาติแล้วยังได้นอนมองดาวสวย ๆ ชมทะเลหมอกยามเช้าอีก ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นไปเที่ยวที่ไหนกันละก็ลองมาดูกันว่ามีพื้นที่สวย ๆ ที่ไหนบ้างที่เหมาะสำหรับการไปนอนชมดาวตลอดทั้งคืน

                ปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน

                คงไม่มีใครไม่รู้จักปางอุ๋ง ดินแดนที่อยู่ระหว่างชายแดนไทยและพม่า และถือเป็น 1 ในโครงการพระราชดำริในรัชกาลที่ 9 ด้วย เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวจะเป็นช่วงที่สวยงามเป็นพิเศษ แนะนำให้นอนกางเต็นท์ใต้ต้นสนใกล้อ่างเก็บน้ำ พอตกดึกจะได้วิวที่สวยงามเห็นดาวเต็มท้องฟ้าแบบที่ไม่ได้เห็นในเมืองกรุงแน่นอน ตื่นมาก็จะได้พบเจอกับวิวหมอกประกอบกับทิวเขายามเช้าและอากาศเย็น ๆ สุดแสนจะสดชื่น และยังได้ชื่อว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยอีก แต่ต้องจองเต็นท์ล่วงหน้านะ ไม่อย่างนั้นจะพลาดที่พักได้เพราะเขามีการจำกัดคนพักระหว่างคืนด้วยนะ

                ดอยหลวงเชียงดาว เชียงใหม่

                ด้วยความสูงกว่า 2,225 เมตรของที่นี่ ตอนกลางคืนคุณจะได้เห็นดาวมากมายเต็มท้องฟ้าราวกับทะเลดาว และยามเช้าก็มีทะเลหมอกกับอากาศหนาว ๆ รอให้คุณตื่นมาพบอีก บรรยายเท่าไรคงไม่พอเท่ากับการไปเห็นเอง ซึ่งนอกจากมานอนชมดาว ณ ดอยหลวงเชียงดาวแล้ว ที่นี่ก็ยังมีพืชพันธุ์ต้นไม้ที่สวยงาม รวมถึงมีนกมากมายหลายชนิดที่ดึงดูดนักส่องนกให้มาเที่ยวที่นี่ ที่สำคัญคือยังมีกวางผาอยู่อีกด้วย หากบังเอิญโชคดีก็อาจจะได้ใกล้ชิดกับสัตว์ธรรมชาติเหล่านี้โดยเที่ยวได้ตั้งแต่ช่วงพฤศจิกายน – มีนาคม

                อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เชียงใหม่

                เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จะพลาดไม่ได้เลย เพราะที่นี่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นยอดเขาที่สูงสูดของประเทศไทยด้วยความสูง 2,457 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถูกรายล้อมไปด้วยดอกพญาเสือโคร่งสีชมพูหรือที่ถูกเรียกว่าซากุระเมืองไทย และยังมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี แต่ถ้ามาช่วงหน้าหนาวนอกจากจะเห็นดาวชัด ๆ ในยามค่ำคืนแล้ว ตอนเช้ายังเห็นทะเลหมอกหนาปกคลุมและอาจก่อให้เกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งได้อีกด้วย นอกจากนี้ในแต่ละปีก็จะมีการจัดกิจกรรมค่ายดูดาวสำหรับเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกมาใช้กล้องโทรทรรศน์ดูดาวอีกด้วย

                หากอยากหลีกหนีจากเมืองกรุง ลองหาวันหยุดสัก 2-3 วันไปนอนชมดาวพร้อมกับคนสำคัญ ไปสัมผัสอากาศเย็น ๆ ได้อยู่แบบไม่ต้องคิดอะไรมากมายก็ทำให้ร่างกายได้ชาร์จแบตได้อย่างเต็มที่ พร้อมกลับไปลุยงานต่อแล้ว แต่อย่าลืมว่าเมื่อไปเที่ยวธรรมชาติก็ต้องรักษาความสะอาด ทำตามกฎ เพื่อให้สถานที่ท่องเที่ยวสวยงามพร้อมต้อนรับเรากลับไปเสมอ

สถานที่ล่องแก่งผจญภัยในหน้าฝน เอาไว้ตะลุยไปกับแก๊งค์เพื่อนที่รู้ใจ

สำหรับใครที่เบื่อการท่องเที่ยวแบบทั่วไป หรือเดินเล่นห้างจนเบื่อแล้ว ลองไปเที่ยวสถานที่สนุก ๆ และน่าตื่นเต้นระทึกใจดูบ้างสิ จะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ทริปที่สร้างความตื่นเต้นได้คงหนีไม่พ้นที่ท่องเที่ยวที่มีกิจกรรม adventure อย่างเช่นการล่องแก่งนั่นเอง ลองชวนเพื่อนสนิทเป็นกลุ่มไปเที่ยวด้วยกันดูสิจะรู้เลยว่ามันสนุกขนาดไหน  หากยังเลือกไม่ถูกว่าจะไปที่ไหนลองมาดูสถานที่ที่เราคัดสรรมาให้แล้ว

                ล่องแก่งหินเพิง อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

                พูดถึงล่องแก่งละก็ขาดแก่งหินเพิงไปไม่ได้เลย ด้วยความที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดปราจีนบุรีนั้นอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก ทำให้เดินทางไม่เท่าไรก็ถึงที่หมายแล้ว ช่วงสำคัญเลยที่จะเริ่มล่องแก่งได้คือหลังฝนตกในช่วงเดือนมิถุนายน-พฤศจิกายน โดยกิจกรรมล่องแก่งหินเพิงจะจัดบริเวณปลายสุดของลำธารในระยะ 3-4 กิโลเมตร โดยจะผ่านแก่งต่าง ๆ ถึง 7 แห่งด้วยกัน โดยจะผ่านแก่งเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่กระแสน้ำที่ไม่รุนแรงมาก จนถึงบริเวณน้ำเชี่ยว น้ำม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่น และจบที่กระแสน้ำเรียบปกติ รับรองว่าความสนุกไม่แพ้ที่อื่นแน่นอน

                ล่องแก่งแม่เรวา อุทยานแห่งชาติแม่วงก์

                ลำห้วยแม่เรวา จังหวัดนครสวรรค์ ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เหมาะสำหรับการล่องแก่ง โดยเป็นพื้นที่ที่มีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี มีแก่งที่ต่างระดับกันหลาย ๆ จุด ทำให้สามารถล่องแก่งเรือยาง หรือจะพายเรือคายัคก็ได้ แต่ถ้าเป็นช่วงน้ำน้อยอย่างพฤศจิกายน – สิงหาคม ก็จะล่องได้แค่เรือคายัคเท่านั้นนะ ก่อนไปลองเช็คช่วงเวลาให้ดีก่อนจะได้ไม่พลาดการล่องแก่ง โดยระหว่างล่องแก่งที่นี่ก็จะมีจุดชมวิวอยู่รอบซ้ายขวาและยังมีทะเลหมอกอีกด้วย นอกจากจะได้ผจญภัยแล้วยังได้เจอวิวสวย ๆ อีก ถือว่าเป็นทริปที่คุ้มค่าเลยล่ะ

                ล่องแก่ง ณ แก่งกึ๊ด เชียงใหม่

                แก่งของทางเหนืออย่างเชียงใหม่ก็น่าลองไปไม่แพ้กัน ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับมือใหม่คือช่วงมกราคม – มีนาคม หรือช่วงมิถุนายน เพราะนอกจากนี้อาจจะยากเกินไปสำหรับผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญการล่องแก่งเนื่องจากมีกระแสน้ำหลากทำให้ควบคุมยากกว่าปกติ โดยจะเป็นการล่องแก่งผ่านโขดหินไปถึง 2 กิโลเมตร แบ่งเป็นการล่องแก่งถึง 3 ช่วงก่อนจะถึงจุดหมาย โดยจะค่อย ๆ ไล่ระดับความยากและต้องอาศัยเพื่อนที่ไปด้วยช่วยกันให้เป็นทีมเวิร์คมากที่สุด รับรองว่าที่นี่ก็สนุกไม่แพ้แก่งที่อื่นเลยล่ะ

                หากใครที่กลัวอันตรายหรือไม่กล้าล่องแก่ง แนะนำว่าให้เลือกช่วงจังหวะของเดือนที่ปลอดภัยที่สุด ฝนไม่ตกหนักหรือน้ำหลากจนเกินไป และเลือกแก่งที่ไม่ยากมากสำหรับมือใหม่ โดยปกติแล้วการล่องแก่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ตลอด ลองทิ้งความกลัวและเริ่มออกไปผจญภัยสิ่งใหม่ ๆ ดูแล้วจะรู้ว่ามันมีความสนุกอีกหลายแบบที่รอคุณอยู่

เที่ยวใกล้กรุง ตะลอนอยุธยาเมืองเก่า

เมืองเก่าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคงไม่พ้นอยุธยากรุงเก่าที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์มายาวนาน อยุธยาเป็นสถานที่ที่ประกอบไปด้วยวัฒนธรรมมีทั้งวัด ตลาด พระราชวัง และชุมชนที่ยังคงอาศัยอยู่ร่วมกับสถาปัตยกรรมเมืองเก่า หากใครอยากหาที่เที่ยวพักผ่อนหย่อนใจใน 1 วันชิล ๆ แบบไปเช้าเย็นกลับ ก็ไม่ควรพลาดการมาเที่ยวอยุธยานะ ลองมาดูกันว่ามีที่เที่ยวที่ไหนบ้างที่มาเมืองเก่าแบบนี้แล้วต้องไปสักครั้ง

                วัดใหญ่ชัยมงคล

                ไม่ว่าใครมาเที่ยวอยุธยาก็ต้องแวะมาไหว้พระเจดีย์ชัยมงคลแห่งนี้ เพราะถือเป็นวัดเก่าแก่มายาวนานมากที่สุดของจังหวัดอยุธยา และยังมีสถาปัตยกรรมโบราณที่ตั้งอยู่รอบ ๆ วัด ให้ได้เดินชมความสวยงามอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีคลองเล็ก ๆ ที่เป็นที่อยู่ของเต่าและปลา โดยสามารถให้อาหารสัตว์ได้ และยังมีพื้นที่สำหรับคนที่ต้องการมาปฏิบัติธรรมด้วยนะ หากใครต้องการพื้นที่สงบสำหรับพักผ่อนจิตใจจากความวุ่นวาย วัดใหญ่ชัยมงคลก็ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสมเลยล่ะ

                พระราชวังบางประอิน

                ในอดีตพระราชวังบางประอินเป็นสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยปัจจุบันนั้นยังคงเป็นสถานที่แปรพระราชฐานของราชวงศ์ แต่เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ โดยมีสถาปัตยกรรมที่หลากหลายทั้งไทย จีน ตะวันตกอยู่ในราชวัง และยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งของ เรื่องราวความเป็นมาในอดีตทั้งอนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ รับรองว่าเดินชมอย่างเพลิดเพลินแน่นอน แนะนำว่าควรแต่งกายสุภาพไปเข้าชมนะ แต่หากใครใส่ขาสั้นไป ก็มีผ้าถุงให้ยืมอีกด้วย

                วัดนิเวศธรรมประวัติ

                ถัดไปไม่ไกลจากพระราชวังบางประอินจะพบกับสถาปัตยกรรมโกธิคแบบตะวันตกที่ถูกสร้างเป็นวัดสำหรับบำเพ็ญราชกุศล โดยตัววัดนั้นตั้งอยู่เกาะกลางน้ำ จะใช้วิธีขึ้นกระเช้าไฟฟ้าข้ามฝั่งแม่น้ำเพื่อไปถึงตัววัด ซึ่งแม้แต่ตัวกระเช้าก็ยังมีการออกแบบให้เข้ากับบรรยากาศไทย ๆ ภายในวัดก็จะประกอบไปด้วยพระอุโบสถ หอพระ พระบรมรูป และสุสานสวนหิน สามารถเดินชมความงามเพลิน ๆ และยังเหมาะกับการถ่ายรูปสวย ๆ อีกด้วย บอกเลยว่าสวยทุกมุมจริง ๆ

                พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นเกริกยุ้นพันธ์

                ทุกคนเคยผ่านวัยเด็กกันมาทั้งนั้น ของเล่นบางอย่างก็หาไม่ได้แล้วในยุคนี้ พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นนี้เป็นแหล่งสะสมจัดแสดงของเล่นเก่า ๆ โบราณไว้มากมาย โดยมีการพยายามสะสมรวบรวมสิ่งของที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์ โดยอาจารย์เกริกผู้ก่อตั้งได้ใช้เวลาสะสมถึง 20 ปีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาดินเผา ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องเงิน วิทยุโบราณ ของเล่นเก่า ๆ อย่างตุ๊กตาไขลาน หุ่นยนต์สังกะสีและอีกมากมาย เป็นการได้มาย้อนวัยและยังทำให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักของเล่นเก่า ๆ อีกด้วยนะ

                อยุธยาเมืองเก่ายังคงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ และมีความสงบซ่อนอยู่ในเมืองนี้ หากอยากพักผ่อนและหาทริปสั้น ๆ ก็แนะนำว่าต้องลองมาอยุธยาดู เดินทางง่ายใกล้กรุงเทพ และยังเป็นเมืองที่น่าสนใจมากอีกด้วย

มาดู! เตรียมความพร้อมก่อนออกทริปยังไงไม่ให้พลาด

หลายครั้งเวลาจัดทริปท่องเที่ยวไม่ว่าจะไปไหนก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญที่สุดเลยนั่นก็คือกระเป๋าหรือสัมภาระที่เราต้องเตรียมติดตัวไปด้วยตลอดทริป หลายครั้งที่เรามักจะพลาดนั่น ลืมนี่ ทำให้ท่องเที่ยวได้ไม่ราบรื่นเอาซะเลย ดังนั้นก็ต้องวางแผนการก่อนออกจากบ้านกันสักหน่อยแล้วล่ะ ว่าควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

                1. เช็คลิสต์สิ่งของ สิ่งที่ต้องทำ

                จะออกเที่ยวแต่ละทีนู่นนี่นั่นก็ยุ่งยากไปหมดจนไม่รู้จะทำอะไรก่อน การเขียนออกมาว่าต้องทำอะไรบ้างจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอันดับแรก ก่อนอื่นเลยต้องวางแผนการจัดทริปก่อนไม่ว่าจะเป็นหาสถานที่ หาที่พัก นัดเพื่อนฝูง ลางาน ก็ควรจดไล่เป็นข้อ ๆ ว่าสิ่งไหนสำคัญและควรทำก่อนเป็นอันดับแรกก่อนจะไล่เรียงความสำคัญสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้เราจัดการได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังควรเช็คลิสต์กระเป๋าเดินทางของเราด้วยนะ จะทำให้เราไม่พลาดลืมสิ่งของที่จำเป็นไว้บ้านและไม่ทำให้ทริปกร่อยแน่นอน

                2. วางแผน Outfit ให้เหมาะกับสถานที่และสภาพอากาศ

                การเลือกเสื้อผ้าในแต่ละทริปก็เป็นสิ่งสำคัญ หากไปเที่ยวภูเขาแล้วแต่งตัวรุงรังใส่รองเท้าแตะก็คงไม่เหมาะกับการเดินป่า ดังนั้นจึงควรศึกษาสถานที่ให้ดีก่อนแล้วเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะกับกิจกรรมแต่ละที่ด้วย อะไรไม่ใช้ไม่จำเป็นต้องเอาไปให้หนักกระเป๋า และการเลือกสีเสื้อผ้าเพื่อให้เข้าคู่กับสถานที่ก็สำคัญนะ หลายคนอาจจะไม่คำนึงถึงมากนักแต่มันจะทำให้เราถ่ายรูปตัวเองคู่กับบรรยากาศรอบข้างออกมาได้สวยกว่าการใส่ชุดอะไรก็ได้ไปอีก

                3. สุขภาพสำคัญที่สุด

                แน่นอนว่าการเตรียมความพร้อมร่างกายให้พร้อมสำหรับการไปเที่ยวก็ไม่ควรมองข้าม หากไปเที่ยวแล้วไม่สบายคงหมดสนุกไม่ใช่น้อย ดังนั้นควรดูแลสุขภาพให้ดีก่อนถึงวันเดินทาง และหากใครมีโรคประจำตัวหรือป่วยง่ายก็ควรเตรียมยาต่าง ๆ ให้พร้อมและพกติดตัวไปด้วย เพราะการไปต่างที่ต่างถิ่นการจะหาซื้อยาหรือไปหาหมอก็ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยากและลำบาก หากเตรียมความพร้อมด้วยตัวเองได้ก็จะทำให้ทริปนี้ไม่หมดสนุกแน่นอน

                4. เอกสารสำคัญต่าง ๆ ห้ามลืมเด็ดขาด

                ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเดินทาง รถตู้ รถไฟ เครื่องบิน เอกสารการจองที่พัก หรือเอกสารหลักฐานการโอนต่าง ๆ ควรเตรียมเอาไว้ให้พร้อมโดยแยกใส่ซองเอกสารอย่างดีเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทาง เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก หากลืมแม้แต่เล็กน้อยจะทำให้ทริปหมดสนุกได้ แต่ถ้าหากใครไปเที่ยวโดยซื้อเป็นทัวร์ท่องเที่ยวก็อาจจะช่วยลดขั้นตอนในการต้องเตรียมเอกสารที่พัก หรือเดินทางไปได้เยอะเลยล่ะ

                การออกไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ นั้น จุดเริ่มต้นของการเตรียมตัวอาจจะยุ่งยากและวุ่นวายจนทำให้หลายคนล้มเลิกทริปไปได้ง่าย ๆ แต่เชื่อเถอะว่าหากได้ตั้งใจลุกออกมาเที่ยวแล้ว จะได้รับประสบการณ์ดี ๆ ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ แน่นอน

สัมผัสวิถีชีวิตไทย ไปเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์มายาวนาน แต่ละพื้นที่ก็ประกอบไปด้วยเรื่องราวของแต่ละพื้นที่นั้น ๆ เรียกได้ว่าแต่ละภาคก็จะมีวัฒนธรรมบอกเล่าที่แตกต่างกันไป หากอยากเรียนรู้เรื่องราวในอดีตหรือชีวิตพื้นบ้านของคนไทย ลองมาดูกันว่ามีที่ไหนบ้างที่มีวิถีชุมชนและวัฒนธรรมให้คุณได้สัมผัส

                บ้านเชียง อุดรธานี

                หลายคนคงเคยได้ยินชื่อพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ที่นี่เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งในประเทศไทย มีการแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตในสมัยก่อนทั้งรูปปั้น ร่องรอยวัฒนธรรม เครื่องมือดำรงชีวิตต่าง ๆ โดยนับว่าเป็นสถานท่องเที่ยวโบราณคดีที่สำคัญของไทยซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย แถมค่าเข้าสำหรับคนไทยก็ไม่แพงเพียง 30 บาทเท่านั้นเอง

                บ้านห้วยฮ่อม เชียงใหม่

                ชุมชนในบ้านห้วยฮ่อมเป็นชุมชนของชาวเขาชาวปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติ โดยยังใช้ชีวิตความเป็นอยู่ อาหารการกิน ความเป็นอยู่ และประเพณีแบบดั้งเดิม ถ้ามาเที่ยวที่นี่ก็จะได้ลองใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน ศึกษาการทำนาขั้นบันได การทำแปลงผักโครงการหลวง และยังได้ชมกระบวนการทอผ้าอีกด้วย หากใครอยากลองหลบจากความวุ่นวายเมืองกรุงไปใช้ชีวิตสงบแบบง่าย ๆ ลองไปเที่ยวที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

                ย่านนางเลิ้ง กรุงเทพมหานคร

                ในกรุงเทพเมืองหลวงของเราก็มีแหล่งชุมชนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและวัฒนธรรมซุกซ่อนอยู่กลางกรุงย่านนางเลิ้ง ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ปัจจุบันมีการอนุรักษ์การแสดงละครชาตรีเอาไว้ในชุมชน มีโรงภาพยนตร์เฉลิมธานี เพื่อให้ชมภาพยนตร์โบราณ รวมถึงยังมีแหล่งเรียนรู้นาฏศิลป์คงอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย เพื่อต้องการที่จะถ่ายทอดศิลปะไทยให้แก่คนรุ่นใหม่ต่อไป นอกจากจะได้เดินชมวัด ดูชุมชน ศึกษาวัฒนธรรมแล้วก็ยังเป็นแหล่งที่รวมของกินอร่อย ๆ เอาไว้อีกมากมาย ใครอยู่กรุงเทพต้องลองไปเดินเที่ยวดูสักวัน จะพบกับความเป็นไทยโบราณที่ตั้งอยู่กลางกรุงกันเลย

                ชุมชนอ่าวคราม ชุมพร

                บ้านอ่าวครามเป็นชุมชนของชาวประมงพื้นบ้านที่อยู่ริมทะเลของอำเภอสวี จังหวัดชุมพร โดยคนในชุมชนต่างใช้เรือหางยาวเป็นพาหนะเพื่อออกไปวางอวนบามปลา หมึก กุ้ง โดยเป็นสิ่งที่ทำกันมานานตั้งแต่บรรพบุรุษผ่านมาเป็นร้อยกว่าปีแล้ว โดยการใช้วิธีบามในการหาอาหารช่วยให้ไม่ทำลายระบบนิเวศทางทะเลและยังรักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้ดี ทำให้ที่แห่งนี้มีลักษณะพิเศษที่ทำให้นักท่องเที่ยวสนใจวิถีการดำเนินชีวิตอย่างมาก หากมาเที่ยวที่นี่ก็จะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ทั้งการอยู่อาศัยแบบชาวเลและยังได้ลองจับสัตว์ทะเลด้วยตัวเองอีกด้วย

                บ้านไทลื้อ ท่าวังผา น่าน

                เฮือนไทลื้อมะเก่า หรือบ้านไทลื้อจำลอง ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับรวบรวมข้อมูลการทอผ้าพื้นเมือง ผ้าทอลายน้ำไหล และลายลื้อ ที่เป็นภูมิปัญญาของชาวไทลื้อซึ่งเป็นชาวจีนที่อพยพมาอยู่ในไทย นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ในอดีตและวิถีชีวิตของชาวไทลื้อ มีการสาธิตการทอผ้าที่มีลวดลายสวยงามเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย

                ในเมืองไทยของเรายังมีแหล่งวัฒนธรรมอีกมากมายที่รอให้เข้าไปค้นหาและศึกษาถึงความเป็นมาของบรรพบุรุษ หากนึกไม่ออกว่าจะไปเที่ยวไหนก็ขอแนะนำให้การเที่ยวเชิงศึกษาวัฒนธรรมเป็นทางเลือกที่คุณไม่ควรพลาดลองไปเที่ยวชม

เที่ยวไปกับธรรมชาติเมืองไทย ไปไหนไปกัน

ประเทศไทยนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสวยและมีธรรมชาติที่งดงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายในประเทศไทย และที่ห้ามพลาดเลยก็คือธรรมชาติในไทยซึ่งมีความหลากหลายไปด้วยทะเล แม่น้ำ ภูเขา ป่าไม้ เรียกได้ว่าเที่ยวที่ไทยจะได้เที่ยวทุกรูปแบบ ลองมาดูกันว่ามีสถานท่องเที่ยวที่ไหนบ้างที่อุดมไปด้วยธรรมชาติ และพร้อมสำหรับการไปพักผ่อนหย่อนใจจากเมืองกรุง

                อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ประจวบคีรีขันธ์

                ด้วยความที่เป็นเทือกเขาที่อยู่ระหว่างพรมแดนของไทยและพม่า อุทยานแห่งชาติกุยบุรีจึงมีพื้นที่ถึง 969 ตารางกิโลเมตร หรือ 605,625 ไร่เลยทีเดียว ถือเป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญของประจวบคีรีขันธ์ และยังเป็นป่าอนุรักษ์ที่ค่อนข้างมีความหลากหลายรวมถึงมีสัตว์ป่านานาชนิด เหมาะกับการมาเที่ยวชมเส้นทางธรรมชาติและชมสัตว์ป่าอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีน้ำตกหลายแห่งในบริเวณนั้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกผาสวรรค์ น้ำตกผาหมาหอน และน้ำตกด่านมะค่า และยังมีเต็นท์สำหรับนอนกลางป่าแบบใกล้ชิดกับธรรมชาติสุด ๆ จะไปกับเพื่อนหรือครอบครัวก็น่าสนุกเลยเชียวล่ะ

                เกาะขาม สัตหีบ ชลบุรี

                ลองมาดูธรรมชาติทางทะเลกันบ้าง นอกจากจะไม่ไกลกรุงมากนักแล้ว เกาะขามยังเป็นแหล่งของแนวปะการังที่สมบูรณ์อีกด้วย มีทั้งกิจกรรมดำน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำลึกหรือน้ำตื้น ว่ายน้ำชมฝูงปลาในท้องทะเลรวมถึงสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ อีกมากมาย การเดินทางไปเกาะขามนั้นจำเป็นต้องข้ามเรือไปโดยห่างจากฝั่งไปประมาณ 9 กิโลเมตร และไม่เปิดให้พักแบบค้างแรม สำหรับใครที่อยากเที่ยวแบบเช้าเย็นกลับ การมาเที่ยวเกาะขามก็นับว่าเหมาะเลยทีเดียว

                ถ้ำปะการัง สุราษฎร์ธานี

                ถ้ำปะการังตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาสก ในเขื่อนรัชชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลานของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี โดยในถ้ำจะมีทั้งหินงอก หินย้อย ที่แตกหน่อเล็ก ๆ คล้ายกับปะการัง จึงทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่าถ้ำปะการัง การเดินทางไปท่องเที่ยวก็จะใช้วิธีเดินป่าตามเส้นทางธรรมชาติ 1.5 กิโลเมตร และนั่งเรือต่อไปถึงทางเข้า เดินต่ออีกไม่ไกล และนั่งแพต่ออีกสักหน่อย ก็จะถึงถ้ำปะการัง และได้เดินชมความสวยงามของหินย้อยธรรมชาติแล้ว

                ป่าชายเลนพันท้ายนรสิงห์ สมุทรสาคร

                นอกจากมาเที่ยวชมธรรมชาติแล้วการมาป่าชายเลนพันท้ายนรสิงห์ยังได้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและได้ศึกษาป่าชายเลนอีกด้วย การเดินทางจะเดินไปตามเส้นทางธรรมชาติที่เป็นสะพานปูน โดยรอบข้างจะมีต้นโกงกางและมีทั้งปลาตีน ปลาหมอ ปลานิล อยู่รอบคลอง นอกจากนี้ยังมีสะพานแขวนสำหรับข้ามคลองไปอีกด้วย ที่สำคัญ ยังสามารถทำกิจกรรมปลูกป่าเพื่อเป็นการอนุรักษ์ได้ด้วยนะ เรียกได้ว่าเป็นการมาเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วย

                มีสถานที่ธรรมชาติในไทยอีกมากมายที่รอให้คุณไปเที่ยวชม สัมผัสกับความสวยงาม ลองเลือกสถานที่ที่คุณชอบแล้วเริ่มเดินทางกันได้เลย